ข้อมูลเบื้องต้น
"สวัสดีค่ะ" จะแนะนำคนเขียนแบบไม่ใช่ชื่อแต่เป็นประสบการณ์ชีวิตของฉันของเวลา13ปีคนนี้ค่ะ... เรื่องนี้ฉันเองต้องการที่จะบอกเล่าความคิดของเด็กจิตเวชอย่างหนึ่งซึ่งก็คือฉัน
ฉันเป็นเด็กจิตเวชคนหนึ่งที่หลายคนมักแทบจะคิดไม่ถึงว่าฉันเป็นเคสหนึ่งที่ได้บำบัด ฉันน่ะ...ตั้งแต่เด็กเป็นคนขี้โมโหง่ายมากทั้งยังไม่มีเหตุผลที่ดีด้วยแถมอีกหลายอย่างคือความใจร้อนและเอาแต่ใจ พูดเหมือนว่าคนทั่วไปก็เป็นแบบนี้กันมาก ฉันคิดว่าทำไม?สังคมถึงมองข้ามจุดสำคัญนี้ไปทั้งที่สิ่งนี้คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เด็กและสังคมดีขึ้นได้โดยการแก้ที่ต้นเหตุเล็กๆ "คนเราต้องแก้ที่ต้นเหตุไม่ใช่ที่ปลายเหตุ"ใช่!นี่คือสิ่งที่อาจทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปได้มากขึ้นรวมทั้งฉันด้วย ข้อความบทนี้ได้จากสิ่งที่คุณแม่ได้ดูแลและบำบัดกล่อมเกลาจิตใจที่แข็งกระด้างของฉันมา...คุณแม่บอกไว้ว่า"คนเรามักแก้กันที่ปลายเหตุ คิดจะหวังผลตามที่ต้องการแต่ไม่ได้ดูสิ่งที่ตนเองทำว่ามันถูกต้องกับเด็กมั้ย ทำกันลวกๆแต่ถ้าแก้ที่ต้นเหตุผลที่เราคาดหวังก็เป็นไปตามที่เราต้องการอยู่หลายเปอร์เซนต์ การแก้ที่ต้นเหตุก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถเพียงแต่เราจะสามารถรับรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้คนๆนั้นเด็กๆเหล่านั้นเป็นอย่างนี้"
ฉันเข้าใจคำพูดนี้ได้แต่ยังไม่มากพอเพราะตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้ายทั้งยังเข้าสังคมยาก จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่เข้าใจมากเท่าใด-_-#
แปลกจัง?ครอบครัวเราก็อบอุ่นดีมีพ่อแม่ที่ดีคอยให้ความช่วยเหลือได้เรียนโรงเรียนดีๆ...แต่ทำไมนะ?งงจริงๆ?ไม่ได้โกหกนะ!...ว่ามีฉันอยู่คนเดียวที่ไม่เหมือนใครในบ้านคอยรังแต่จะทำให้ครอบครัวแตกแยกซะเปล่า ก้าวร้าวใส่ทุกคน โลกส่วนตัวสูง วันนึงแทบไม่ได้เจอหน้าผู้คนเลยทำในสิ่งที่ตนเองชอบโดยไม่สนรอบข้างเลยว่าเขาเป็นตายร้ายดีกันยังไง จากที่แม่เล่าเรื่องตอนฉันเกิดจนถึงตอนนี้ให้ฟัง ฉันรู้สึกตลกตัวเองมากจริงๆเลย...ตอนที่แม่ท้องฉันเนี้ยแม่ดีใจมากเพราะมีลูกยากกว่าจะมีลูกก็ประมาณ5ปีซ้ำตอนท้องฉันลำบากมากกินก็ยากเดี๋ยวก็อ้วกลุกนั่งเดินนอนลำบากพอคลอดฉันออกมาก็ใช่จะเลี้ยงง่ายเหมือนเด็กทั่วไปไปร้องตลอดร้องเสียงดังด้วยจนคนข้างบ้านเขารำคาญนอนหลับยากต้องให้คนอุ้มตลอดเวลาถ้าไม่อุ้มมีดิ้นพร้อมเสียงโอเปรา( ̄. ̄)กินยากมากตอนนั้นพ่อคิดจะเอาหนูไปปล่อยทิ้ง(ตอนนี้คุณพ่อใจดีมาก) พอโตขึ้นสัก2-3ขวบคุณแม่รับไม่ไหวกับอาการของฉันเลยพาฉันไปโรงพยาบาลจิตเวชคุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากช่วยบอกวิธีบำบัดจนช่วงนั้นฉันดีขึ้นมากและได้เข้าเรียนอนุบาล มีครูคนหนึ่งที่นั่นเธอเป็นนักจิตวิทยาเป็นครูที่ดีมากๆใจดีเข้าใจเด็ก ครูบอกคุณแม่ที่ห่วงเรื่องของฉันว่าเป็นอย่างไรบ้างครูก็ตอบมาว่า"เรื่องการพัฒนาการเรียนรู้ดี แต่เรื่องการเข้าสังคมไม่ผ่าน"ซึ่งมันเป็นอะไรที่ฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันเพียงแค่ไม่กล้าอยู่กับคนอื่นเท่านั้นเองมันดูน่ากลัวและลายตา มันจะมีผลกระทบมากขนาดนี้เหรอ? ฉันก็ดีขึ้นนิดหน่อยตามฉบับของฉัน พอขึ้นป.4ฉันมีปัญหามากเป็นเหมือนคนบ้าอยู่ดีๆพูดเฉยๆก็ร้องไห้โวยวายจะเป็นจะตายอาหารไม่ค่อยจะกินพูดตะคอกตลอดเกลียดน้องสุดๆเข้าใกล้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียวผลการเรียนตกต่ำที่สุดจนย้ายไปเรียนที่โรงเรียนฉือจี้เป็นโรงเรียนสอนคุณธรรมไปเรียนปีแรกก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแม่ก็พาไปโรงพยาบาลสวนปรุงด้วยพอขึ้นมาป.6หรือก็ปีถัดไคนในบ้านบอกว่าฉันดีขึ้นครูก็ชมผลการเรียนดีขึ้นเหมือนทุกครั้งเริ่มใกล้น้องได้มากขึ้นแล้วและที่จะทำให้คุณแม่ดีใจก็คือฉันได้รับรางวัลนักเรียนพัฒนาการดีเด่น ขึ้นมัธยมแล้ว(ม.1)ฉันแทบจะไม่โวยวายเลยอาการดีขึ้นมากนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับน้องได้เริ่มออกจากห้องมาช่วยงานแม่บ้าง น่าตกใจฉันสอบได้ที่หนึ่งทั้งสองเทอมและยังได้รางวัลนักเรียนพัฒนาการดีเด่นอีกครั้ง ฉันคิดว่าจะต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่มีอะไรที่ทำให้เสียดายถ้าทำตัวเองให้ดีขึ้นในทางที่ถูกต้อง
ถ้าทบทวนตนเองใหม่อีกสักครั้งดูข้อบกพร่องของตนเองแล้วนำมาแก้ไขให้ดีเชื่อมั่นในตนเองเมื่อทำถูก ฉันเชื่อว่าต้องดีขึ้นที่ละนิด...
เด็กนั้นกล่อมเกลาได้ง่ายที่สุด เด็กเหมือนพระโพธิสัตว์น้อยที่สามารถทำให้โลกดีขึ้นได้ถ้าเราเข้าใจให้อภัยและให้โอกาส...
ป่วยจิตกับป่วยกายนั้นไม่เหมือนกันขอให้แยกให้ออกได้ก็เป็นพอ...
เด็กจิตเวชนั้นไม่อาจรักษาให้หายได้แต่สามารถทำให้มันดีขึ้นได้...
.....แตกต่างทางความคิด ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไป ถนนแยกออกไป เป็นทางเดินของแต่ละคน......
เดินออกจากเส้นทางที่สร้างเอาไว้บ้างก็ได้มันไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่ากลัวผิด สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้ตัวเองบ้างก็ดี จะได้เข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่น
"ชีวิตนอกเส้นทาง"
**************************************************************************************************************************************************
ขอบคุณมากค่ะที่เสียสละเวลามาอ่านเรื่องของเด็กจิตเวชคนนึง อาจเขียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะไม่มีประสบการณ์การเขียนเรื่องสั้น และสุดท้ายสวัสดีค่ะ
ความคิดเห็น